พรีเมียร์ ลีก เป็นรายการแข่งขันฟุตบอลที่มีแฟนบอลมากที่สุดในโลกก็ว่าได้ เหตุผลหนึ่งก็พราะว่ามีการแข่งขันที่ดุเดือดและสูสีในทุกนัดการแข่งขัน ไม่ว่าจะเป็นทีมเล็กทีมใหญ่ต่างมีโอกาสคว้าชัยชนะในการโคจรมาเจอกัน ด้วยเหตุนี้ทำให้แฟนบอลลุ้นได้สนุกในทุกนัดและตลอดรายการ ซึ่งในพรีเมียร์ลีกมีรองแชมป์หลายทีมที่ควรจะคว้าแชมป์หากทีมแชมป์ที่ไม่โชว์ฟอร์มสุดโหดในฤดูกาลนั้นแบบไร้ที่ติ 

มาลองดู 5 รองแชมป์ที่ดีที่สุดของพรีเมียร์ ลีก อังกฤษ ว่าทำผลงานได้ดีกันขนาดไหน และทำไมถึงไม่ได้แชมป์

นิวคาสเซิล (ฤดูกาล 1995-96)

1.นิวคาสเซิล (ฤดูกาล 1995-96)

ย้อนกลับไปในยุค 90s กลางๆ นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด ไม่ใช่ทีมที่ลงเล่นเพื่อหนีตายเหมือนทุกวันนี้ พวกเขาเป็นทีมใหญ่ แฟนบอลเยอะ มีเงินทุนให้ใช้ และที่สำคัญพวกเขามีสายตาที่เฉียบคมสุดๆ ในการเลือกนักเตะเข้าสู่ทีม

ในปี 1992 พวกเขาได้ เควิน คีแกน อดีตนักเตะคนสำคัญกลับมาเป็นกุนซือ และทำผลงานดีขึ้นในทุกๆ ปี ซึ่ง คีแกน เป็นกุนซือประเภทหยิบนักเตะคนไหนมาก็ปังเอาเรื่อง 

ในฤดูกาล 1995-96 พวกเขาพร้อมเป็นผู้ท้าชิงแชมป์นั้น นิวคาสเซิล ได้นักเตะระดับหัวกะทิอย่าง เลส เฟอร์ดินานด์ กองหน้าทีมชาติอังกฤษสไตล์โป้งเดียวปิดบัญชี และปีกจอมพริ้วดีกรีทีมชาติฝรั่งเศสอย่าง ดาวิด ชิโนล่า เข้ามาเสริมทัพ แถมกลางฤดูกาลยังได้ดาวยิงจาก ปาร์ม่า อย่าง ฟาอุสติโน่ อัสปริย่า มาอีกคน 

ช่วงแรกของฤดูกาล นิวคาสเซิล เดินหน้าไล่ถล่มทีมอื่นๆ เป็นว่าเล่น พวกเขายิงได้เยอะ และเสียประตูน้อยอีกต่างหาก แต่เมื่อทุกทีมรู้ถึงความน่ากลัวว่าพวกเขาเล่นกันอย่างไร และหลังจากนั้นก็ดูเหมือน นิวคาสเซิล ที่เป็นบอลเดินหน้าฆ่ามันแต่ถอยหลังหกล้มจะต้องเจอกับสถานการณ์ซึ่งพวกเขาไม่เคยพบเจอ หนึ่งในสถานการณ์นั้นคือ “การอุดในแดน 11 ตัว” ที่ ณ ยุคนั้นไม่ใช่สิ่งที่พบเห็นกันได้บ่อยๆ จากที่มีแต้มนำห่าง ผลงานพวกเขาเริ่มย่ำแย่หลังแพ้ เวสต์แฮม แบบยิงไม่ได้ ตามด้วยการเสมอกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้  3-3 และทำให้ช่องว่างคะแนนลดลงมา มาถึงเกมที่ 3 หลังจากไม่สามารถเอาชนะได้ 2 เกมติเป็นการเจอกับ แมนฯ ยูไนเต็ด และนี่คือเกมที่เปลี่ยนฤดูกาลนี้ หากนิวคาสเซิลชนะพวกเขาจะปิดเส้นทางการลุ้นแชมป์ของ ปีศาจแดง แต่ในเกมนั้นแมนฯ ยูไนเต็ด บุกมาชนะ นิวคาสเซิล ได้ถึงบ้าน ทำให้ แมนฯ ยูไนเต็ด ไล่ตามหลังพวกเขามาติดๆ

หลังจากนั้น นิวคาสเซิล เสียความนิ่งไปโดยปริยาย จากทีมที่เล่นด้วยความมั่นใจ กลายเป็นทีมที่ชนะแบบหืดจับ และตามด้วยการ แพ้ ลิเวอร์พูล, แพ้ แบล็คเบิร์น และกลับมาชนะรวดใน 3 เกมต่อมา ตอนนี้เหลือเกมในมืออีก 2 เกม หากพวกเขาชนะหมด สาลิกาดง จะเป็นแชมป์ แต่ความกดดันมักจะทำให้อะไรๆ ผิดพลาดเสมอ เกมนัดรองสุดท้าย นิวคาสเซิล เจอกับ ฟอเรสต์ ที่เพิ่งโดน ปิศาจแดง ยำไป 0-5 พวกเขาออกนำก่อนตั้งแต่นาทีที่ 32 แต่ก่อนจบเกมเพียง 15 นาทีเสียท่าให้กับประตูของ เอียน โวน จนทำให้เสมอกันไป 1-1 จากนำห่างกลายเป็น นิวคาสเซิล ตามหลัง แมนฯ ยูไนเต็ด 2 คะแนนก่อนถึงเกมสุดท้ายของฤดูกาล

เกมสุดท้ายจากที่เคยกุมชะตาตัวเอง ตอนนี้ นิวคาสเซิล ได้แต่หวังว่า มิดเดิลสโบรช์ จะต้าน แมนฯ ยูไนเต็ด ไว้ให้ได้ ซึ่งสุดท้ายแล้ว ปีศาจแดง ไล่ถล่มไป 3-0 ขณะที่ นิวคาสเซิล ตกม้าตาย เสมอ ท็อตแนม ฮ็อทสเปอร์ 1-1 ในบ้านตัวเอง จบฤดูกาลด้วยการมีแต้มตามหลัง ยูไนเต็ด 4 แต้ม ทำได้แค่เพียงรองแชมป์ไปอย่างน่าเจ็บปวด และกลายเป็นตำนานหนึ่งในฤดูกาลที่เข้มข้นที่สุดนับตั้งแต่มีพรีเมียร์ลีกจนถึงทุกวันนี้

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด (ฤดูกาล 2011-12)

2.แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด (ฤดูกาล 2011-12)

ในประวัติศาสตร์ของพรีเมียร์ลีกอังกฤษ มีหลายฤดูกาลที่แฟนบอลปิศาจแดงจดจำและลุ้นกันจนถึงนัดสุดท้าย ไม่ว่าจะเป็นฤดูกาล 1994-95 ที่แบล็คเบิร์น โรเวอร์สได้แชมป์จากความผิดพลาดของทีมปีศาจแดงในเกมส่งท้ายซีซั่นฤดูกาล หรือฤดูกาล 1998-99 ที่ แมนฯ ยูไนเต็ด คว้าทริปเปิลแชมป์ ชนิดที่ต้องลุ้นหนักตลอดฤดูกาล 

แต่ฤดูกาลที่ถูกยกให้ “ลุ้นสนุกที่สุด” ตลอดกาล คือ ฤดูกาล 2011-12 ซึ่ง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ได้แชมป์พรีเมียร์ลีกเป็นครั้งแรก โดยเบียดเอาชนะคู่ปรับร่วมเมืองอย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไปแบบหวุดหวิดด้วยผลต่างประตูได้-เสียที่เหนือกว่าเท่านั้นเอง 

ในฤดูกาลนั้นผลการแข่งขันระหว่างทีมใหญ่เจอกันเองเต็มไปด้วยเรื่องที่น่าพูดถึงมากมายไม่ว่าจะเป็น แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่สามารถบุกไปถล่ม ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ถึงบ้านได้ 5-1 รวมถึงทำให้แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด หมดสภาพคาถิ่น โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ด้วยสกอร์ 1-6 หรือ แมนฯ ยูไนเต็ด โชว์ผลงานสุดยอด ด้วยการเปิดบ้านยำใหญ่ อาร์เซน่อล 8-2 ชนิดที่ อาร์แซน เวนเกอร์ ต้องเจอกับเกมที่เสียประตูเยอะที่สุดในลีกอังกฤษ และแน่นอนว่าไม่มีใครลืมความเข้มข้นของการลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกระหว่าง 2 ทีมเมืองแมนเชสเตอร์ได้เลย พวกเขาทำผลงานสุดยอดตั้งแต่ออกสตาร์ทด้วยการไร้พ่ายในช่วงต้นฤดูกาลนานหลายนัด โดย แมนฯ ซิตี้ ชิงจังหวะโกยแต้มทิ้งห่างก่อนหลังบุกถล่มผีแดง แต่ทีมปีศาจแดงของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ก็ยังคงคืนฟอร์มเก็บแต้มให้มากที่สุดเพื่อรักษาระยะห่าง

ผ่านกลางเดือนมกราคม แมนฯ ยูไนเต็ด เข้าสู่ช่วงท็อปฟอร์มสุดๆ กวาดไปถึง 37 แต้มจาก 13 นัด ขณะที่ทีมเรือใบสีฟ้ามาแกว่งในช่วงปลายเดือนมีนาคม จนถึงต้นเดือนเมษายน ทำให้ทีมปีศาจแดงมีคะแนนมากว่าเรือใบสีฟ้าถึง 8 คะแนน และเหลือโปรแกรมอีกแค่ 6 นัด ถ้าพวกเขายังรักษามาตรฐานไว้ได้ก็จะป้องกันแชมป์อีกสมัยได้ไม่ยาก แต่ว่า แมนฯ ยูไนเต็ด มาพลาดท่าบุกไปแพ้ วีแกน แบบพลิกล็อค ก่อนจะสะดุดปล่อยให้ เอฟเวอร์ตัน ไล่ตีเสมอ 4-4 เปิดโอกาสให้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่ชนะรวดโกยแต้มไล่มาเหลือแค่ 3 คะแนน ในช่วงสิ้นเดือนเมษายน 

เกมลีกนัดที่ 36 แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ต้องเปิดบ้านพบ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จึงกลายเป็นนัดตัดสินแชมป์ไปโดยปริยาย เพราะถ้าเรือใบสีฟ้าของ โรแบร์โต้ มันชินี่ ชนะได้ พวกเขาจะพลิกขึ้นนำจ่าฝูงแทนด้วยผลต่างประตูได้-เสียที่ดีกว่า และ แมนฯ ซิตี้ ก็ทำได้จริงๆ จากลูกโขกของ แว็งซ็องต์ ก็องปานี ต่อมาอีก 2 นัดที่เหลือก็เก็บชัยชนะรวดคว้าแชมป์ไปครอง แม้จะมีดราม่านัดสุดท้ายให้แฟนปิศาจแดงได้ลุ้น จากการเปิดบ้านตามหลัง ควีนส์ปาร์ค เรนเจอร์ส 2-1 แต่มาทำได้ 2 ประตูในช่วงทดเจ็บส่งแฟนผีกลับเข้าหลุมในนาทีสุดท้าย

ลิเวอร์พูล (ฤดูกาล 2013-14)

3.ลิเวอร์พูล (ฤดูกาล 2013-14)

นับเป็นอีกฤดูกาลที่ลุ้นกันอย่างสนุกในศึกลูกหนังพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ซึ่งการตัดสินแชมป์ต้องมาวัดกันถึงนัดสุดท้าย ระหว่าง “เรือใบสีฟ้า” แมนเชสเตอร์ ซิตี้ กับ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล ก่อนที่ แมนฯ ซิตี้ จ่าฝูง จะไม่พลาดท่าเก็บชัยได้ตามเป้าหมายคว้าแชมป์เป็นสมัยที่ 2 ในรอบ 3 ปี ขณะที่ ลิเวอร์พูล ต้องรอแชมป์ลีกสูงสุดสมัยที่ 19 ต่อไปเป็นปีที่ 24 แต่ต้องถือว่าพวกเขาเข้าใกล้ตำแหน่งแชมป์มากที่สุดในช่วงเวลานั้น พ่วงด้วยสถิติการทำประตูในฤดูกาลได้สูงสุดในประวัติศาสตร์สโมสรถึง 101 ประตู

ช่วงท้ายฤดูกาลหลังรักษาตำแหน่งหัวตารางอยู่นั้นมีเหตุการณ์ที่เป็นที่จดจำของแฟนบอลทั่วโลก คือ กัปตัน “เจอร์ราร์ด” ที่ทำได้ดีมาตลอดทั้งฤดูกาล แต่มาผิดพลาดครั้งใหญ่ที่ทำให้โอกาสคว้าแชมป์พรีเมียร์ ลีก อังกฤษ ในฐานะนักเตะของ เจอร์ราร์ด ต้องหมดไปในเกมพ่าย เชลซี 0-2 ซึ่งจังหวะสำคัญนั้น คือ การลื่นล้มของ เจอร์ราร์ด ที่กลายเป็นโอกาสให้ เดมบา บา ฉกบอลไปยิงเป็นประตูขึ้นนำให้เชลซีในช่วงทดเจ็บครึ่งแรก และเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในการลุ้นแชมป์ของลิเวอร์พูล ที่ส่ง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ กลับมาขึ้นนำด้วยผลต่างประตูได้เสีย แถมนัดต่อมายังสะดุดเสมอ ครัสตัล พาเลซ 3-3 เรียกได้ว่าสะดุดขาตัวเองในช่วงสุดท้ายจริงๆ 

ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ (ฤดูกาล 2016-17)

4. ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ (ฤดูกาล 2016-17)

เป็นการคว้าอันดับ 2 อย่างเจ็บปวดที่สุดสำหรับ ท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ส ในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีก และจบอันดับ 2 เป็นครั้งที่ 2 นับตั้งแต่ฤดูกาล 1962-63

ฤดูกาลดังกล่าวนั้นเรียกได้ว่าทำผลงานได้สุดยอดแต่โชคร้ายที่ไม่สามารถคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกมาได้ มันเป็นฤดูกาลที่น่าประทับใจที่ทั่วโลกนั้นได้เห็นการประสานงานของ แฮร์รี่ เคน, เดเล่ อัลลี และ ซนฮึงมิน โดยทั้ง 3 คนนี้ประสานงานกันได้สุดยอดทำให้สเปอร์สจบด้วย 86 คะแนนเป็นสถิติสูงสุดของพวกเขาในพรีเมียร์ลีก แถมด้วยสถิติไร้พ่ายในบ้านตัวเอง โดย ท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ส ประสบความพ่ายแพ้ในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้เพียง 4 ครั้งเท่านั้น 

อย่างไรก็ตามต้องยอมรับความสุดยอดของ อันโตนิโอ คอนเต้ ที่เข้ามาฟื้นคืนชีพ สิงห์บลู พา เชลซี ทำผลงานได้ดีสร้างเซอร์ไพรส์กับการคุมเชลซีครั้งแรกโดยพลิกพา เชลซี กลับมาคืนฟอร์มเก่งคว้าแชมป์ไปได้

ลิเวอร์พูล (ฤดูกาล 2018-19)

5. ลิเวอร์พูล (ฤดูกาล 2018-19)

การเป็นที่ 2 พร้อมสถิติเก็บได้ 97 คะแนน หากมองย้อนกลับไปในฤดูกาลอื่นๆ ในการแข่งขันระดับพรีเมียร์ลีก ยกเว้นซีซั่น 2017-18 ที่แมนฯ ซิตี้ เก็บไปได้ถึง 100 แต้ม นอกนั้นไม่มีซีซั่นไหนเลยที่สโมสรใดก็ตามเก็บคะแนนได้มากขนาดนี้จะไม่ได้ชูโทรฟี่แชมป์ ส่งผลให้ลิเวอร์พูลในฤดูกาลนี้เป็นรองแชมป์ที่ได้คะแนนสูงสุดตลอดกาลของพรีเมียร์ ลีก

ลิเวอร์พูล แสดงพัฒนาการแบบก้าวกระโดดในซีซั่น 2018-19 ที่แสดงให้เห็นว่าทีมของเจอร์เก้น คล็อปป์ มีศักยภาพใกล้เคียงกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ มากขึ้นจากฤดูกาล 2017-18 “หงส์แดง” มีแค่ 75 คะแนน โดยแต้มห่างจาก “เรือใบสีฟ้า” แชมป์ลีก ที่เก็บได้ 100 แต้ม ถึง 25 คะแนน แต่ในฤดูกาล 2018-19 จบลงด้วยการเป็นรองแชมป์โดยตามหลัง แมนฯ ซิตี้ เพียงแค่ 1 แต้มเท่านั้นที่เป็นแชมป์ลีกด้วยคะแนน 98 คะแนน ซึ่งนับเป็นผลงานที่น่าเหลือเชื่อสำหรับรองแชมป์ที่เก็บแต้มได้สูงถึง 97 คะแนน กลายเป็นรองแชมป์ที่ดีที่สุดในวงการลูกหนังเมืองผู้ดี อย่างไรก็ตามผลงานของ ลิเวอร์พูล ในฤดูกาลนี้ทำให้สาวก “เดอะ ค็อป” กลับมาภาคภูมิใจและรู้สึกถึงความหวังในการคว้าแชมป์ลีกที่รอคอยมาอย่างยาวนานอีกครั้ง

แม้ว่ามันอาจจะดูเหมือนโชคร้ายที่ “หงส์แดง” ต้องพลาดแชมป์ให้กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ แต่มันก็คงเป็นเรื่องที่ไม่ยุติธรรมนักหากจะบอกว่า “เรือใบสีฟ้า” ไม่คู่ควรกับคำว่าแชมป์พรีเมียร์ลีกในฤดูกาลนี้ บางครั้งลูกกลมๆ มันก็ไม่สามารถคาดเดาอะไรได้แบบนี้แหละ